เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล๊อกนี้ผมทำขึ้นเพื่อเผยแพร่งานเขียนของผู้คนที่ผมรู้จัก ทั้งนักเขียนอาชีพ เพื่อน หรือแม้แต่คนที่ผมไม่เคยเห็นหน้า โดยเราทุกคนมีความเห็นอันตรงกันว่า "เราจะเผยแพร่งานเขียนของเราโดยไม่หวังผลเป็นตัวเงินตอบแทน"

19 พฤศจิกายน 2552

(เรื่องสั้น) คนรู

ผมกำลังขุดดิน


ทำไมนะหรือ ผมเองก็ไม่รู้ มันไม่มีคำอธิบายหรือเหตุผล ผมเพียงแค่รู้สึกอยากจะขุด ขุดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คนในหมู่บ้านมักจะหัวเราะเยาะคำตอบนั้นของผม

“เอ็งมันบ้า...” พวกมันว่า “บ้ามาตั้งแต่เกิด”

ผมไม่เคยโต้เถียงคำเหล่านั้น ไม่แม้แต่ครั้งเดียว...เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงนะสิ ใช่...ผมบ้า

ตอนผมยังเด็ก ๆ แม่พาผมไปหาหมอในอำเภอเพราะสังเกตเห็นความผิดปรกติบางอย่าง หมอว่าต้องไปโรพยาบาลกรุงเทพฯ แม่ก็พาผมไป เราเดินทางกันยาวนานหลายวันเพื่อไปยังกรุงเทพฯและเพื่อพบคำตอบว่าผมบ้า

ไม่...ไม่ใช่ ผมไม่ได้บ้า หมอคนนั้นบอกผมว่าผมไม่ได้บ้า ผมแค่มีปัญหาเล็ก ๆ ในสมองของผม ใช่...ผมไม่ได้บ้า ผมแค่เกิดมาไม่ปรกติ ไม่ใช่ความผิดของผม ใช่...ผมไม่ผิด ใช่แน่ ๆ ผมไม่ผิด...คนผิดคือคนอื่น...ใครกันที่เป็นคนผิด ใครกัน

ผมหยุดมือเพื่อคิดหาคำตอบ บ้าจริง เวลาแบบนี้หัวของผมมันจะให้สิ่งที่ต้องการยากเสมอ ใครกัน ใครกัน...

แม่ผมหรือ...โอ...ไม่ ไม่อย่างแน่นอน แม่ผู้เป็นที่รักของผมไม่มีทางที่จะเป็นคนผิดได้ เธอทั้งแสนดี พูดจาไพเราะกับผมเสมอ อีกทั้งผัดยอดฟักแม้วที่เธอทำเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กก็ช่างแสนอร่อยและเปี่ยมเต็มไปด้วยรสรักจนยากที่จะเทียบเคียงกับใคร โอ...ผมคิดถึงรสมือของแม่เหลือเกิน...ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่แม่ของผมแน่นอน

หรือจะเป็นพ่อ...อาจจะใช่...ไม่สิ ต้องใช่แน่ ๆ ต้องเป็นมัน ไอ้คนสันดานชั่วนั้นต้องเป็นคนผิด มันเป็นคนรีดเชื้อชั่ว ๆ ให้แม่เพื่อให้กำเนิดผม ต้องใช่แน่ ๆ ต้องเป็นมัน...ขอให้มันตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด

แล้วก็ไอ้พวกพี่เลวนั้นก็ด้วย ใช่...พวกมันก็ผิด...พวกมันเอาแต่ดูถูกผม เหยียดหยามผมทั้ง ๆ ที่ผมทำงานได้อย่าพวกมันทุกอย่าง เอาแต่ด่าว่า เตะตี แล้วก็หัวเราะเย้ยหยันยามเห็นผมนอนคุดคู้อยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเขียวช้ำ ไอ้พวกสารเลว ไอ้ระยำชาติ

“โอ๊ย...” ผมร้องเสียงดังลั่นเมื่อแกลอนน้ำมันตัดครึ่งที่ผมใช้เป็นอุปกรณ์ขุดเพียงหนึ่งเดียวหักและบาดมือเป็นแผลลึก เม็ดน้ำสีแดงเริ่มไหลทะลักออกมาก่อนจะเอ่อล้นปิดฝ่ามือ ผมรีบไต่ขึ้นมาบนปากหลุมและมองหาผ้าหรืออะไรสักอย่างเพื่อห้ามเลือด

ผมเดินหาไปทั่วใต้ถุนบ้าน...ไม่มี...ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่ว่าผ้าหรืออะไร...ไอ้ส้นตี...ผมเดินหาอีกครั้ง และ...อ้า ผมเจออะไรเข้าแล้ว...เศษผ้านอนขดตัวอยู่ในกระติกน้ำพลาสติก ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่ไม่มีแผล คงเป็นของแม่...เศษผ้าลายสวยนี้ต้องเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าที่แม่ปักขึ้นมาแน่ ๆ...ผมรู้ดี ผมจำได้...

ผมหยิบมันขึ้นประชิดที่จมูก ดอมดมอย่างโหยหา คิดถึงวันคืนที่ได้ซุกไซ้หนุนตักแม่ผู้แสนดี คิดถึงเพลงกล่อมที่แม่ร้องก่อนที่ผมจะหลับไป

บางสิ่งที่ตกลงบนปลายเท้า ผมก้มลงมอง

ปืน

“อ้าๆๆๆๆ” ผมร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว เสียงสายฝนกระหน่ำบนหลังคามุงจากดังขึ้นในมโน

ไม่ ผมร้องบอกตัวเอง อย่าคิดถึงมัน อย่านะ อย่า...แต่มันก็เหมือนทุกครั้ง ผมไม่สามารถสั่งห้ามสมองของตัวเองได้ ภาพเก่าเมื่อครั้งนานแสนนานมาแล้วฉายขึ้นคล้ายว่ามันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งตรงหน้าผม

“กูจะเอามันไปปล่อยในป่า...” เสียงไอ้พ่อชาติชั่วของผมเอ่ยถึงแผนการของวันพรุ่ง “ให้มันอยู่แบบนี้ก็ตายเปล่า”

“เอามันไปปล่อยก็ตายเหมือนกัน” เสียงแม่ของผมเอ่ยทัดทาน โอ...แม่ที่แสนดีของผม เธอกำลังพยายามปกป้องผมจากความตายที่ทำลังจะมาถึงตัวผมในอีกไม่นาน

“หรือมึงจะเลี้ยงมัน” มันทำเสียงขึ้นจมูกเป็นเชิงดูถูกเมื่อเห็นแม่เงียบไป “อุตส่าห์พาไปหาหมอถึงในกรุง เสียเงินไปตั้งมากมาย แต่สุดท้ายก็กลับมาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง...” ไม่จริง มึงโกหก ไอ้ชาติหมา กูทำได้ทุกอย่าง แต่มึงไม่ให้กูทำ หาว่ากูจะทำเสียบ้างละ หาว่ากูจะทำพังบ้างละ ไอ้เลว ไอ้เหี้ย

“ถ้าอย่างนั้นกูเลี้ยงมันเองก็ได้ มึงไม่ต้องมายุ่ง” แม่ของผมพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

“แล้วใครเป็นคนหาเลี้ยงพวกมึง...ก็กู” มันเถียงแม่ผมด้วยน้ำเสียงดุดันกว่า “แค่ไอ้อีตัวอื่นกูก็แทบจะตายอยู่แล้ว มึงจะให้กูเลี้ยงคนไม่เป็นคนแบบนั้นอีกทำห่าเหวอะไร...แค่ที่เลี้ยงมันจนถึงทุกวันนี้กูก็ขายหน้าเขาไปทั้งบาง”

“แต่มันก็ลูกมึงนะ”

“ลูกของมึงไม่ใช่ของกู” ใช่ มึงพูดถูก มันเป็นครั้งเดียวที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ชาติหมานั่น กูลูกของแม่ไม่ใช่ลูกของมึง จำใส่กะโหลกไว้ซะ

ทุกอย่างเงียบไปหลังจากนั้น ไม่มีเสียงพูดคุยหรือโต้เถียง จะมีก็แต่เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของแม่ผมเดินไปทางห้องนอน จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรนอกจากสายฝนที่เทกระหน่ำ

เช้าวันรุ่งขึ้นไอ้พ่อเลวของผมปลุกผมแต่เช้ามืดเพื่อพาผมขึ้นเขาเข้าไปในป่า กลิ่นไอดินอบอวนระคนกับกลิ่นอาทิตย์ยามเช้าหอมหวานเป็นสัญญาณอันดีในการเดินทาง

“ลุก กูจะพามึงเข้าป่าด้วย” มันพูดอย่างไม่ยี่หระและผมก็ตามมันมาแต่โดยดี

ไร้วี่แววของแม่ เธออาจจะยังหลับอยู่....ไม่เป็นไร แม่ ผมดูแลตัวเองได้

นกน้อยเริ่มส่งเสียงร้องต้อนรับผมให้เข้าสู่เขตแดนไพรพนา กลิ่นอวนดินเริ่มจางหายไปกลายเป็นกลิ่นของป่าเขาพร้อม ๆ กับการมาถึงดวงอาทิตย์ ไอ้พ่อชาติชั่วมันพาผมเดินลัดเลาะไปตามสันเขาก่อนจะพาเดินเข้าป่าไกลกว่าที่ผมเคยมา มันพาผมเข้าสู่ป่ารกชัฏที่มีไม้ใหญ่ขึ้นผสมปนเปไปกับไม้เถาและไม้เล็ก พื้นดินแฉะชื้นเป็นดินโคลนเพราะฝนเมื่อคืน

มันพาผมเดินและหยุดและเดินอย่างไม่รีบร้อน มันคงรู้ดีว่าผมไม่มีทางหาทางกลับได้ถูก แต่มันคิดผิด ใช่...มันไม่รู้ถึงสิ่งที่ผมมี สิ่งที่ผมทำได้...ใช่แล้ว...ผมมีความทรงจำเป็นเลิศ ผมจำเส้นทางที่เดินผ่านมาได้เป็นอย่างดี จำได้ทุกย่างก้าว จำไม้ได้ทุกต้น จำได้แม้แต่รังของนกน้อยที่อยู่สูงขึ้นไป มันช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกินและผมก็หัวเราะเยาะมันอยู่ในใจ

เมื่อเวลาล่วงเข้าบ่ายคล้อยจนเกือบเย็นย่ำมันก็หยุด...ใกล้ ๆ กันมีลำห้วยเล็ก ๆ ที่มีน้ำใสไหลผ่าน ไอ้พ่อเลวของผมนั่งลงและค่อย ๆ วักน้ำขึ้นล้างหน้าและลำแขน

“เดินมาตั้งแต่เช้า...” มันเริ่มพูดทั้ง ๆ ที่ยังนั่งอยู่และหันหลังให้ผม “ยังไม่ได้อะไรสักอย่าง”

ผมเงียบ

“ท่าทางวันนี้คงไม่ได้อะไรกลับไปซะแล้ว”

ผมเงียบ

“ถ้าเจอไก่ฟ้าหรือหมูป่าก่อนกลับบ้านก็ดีสิ” มันยิ้มและหันมาทางผม

ผมเงียบ

รอยยิ้มของมันค่อย ๆ ซึมหายไปจากพื้นผิวบนใบหน้าเหลือเพียงสายตาเย็นชาที่จ้องผมนิ่ง “มึงรู้แล้วสิว่ากูพามึงมานี่ทำไม”

ผมเงียบ

“กูไม่ได้อยากทำหลอก...” มันเอ่ยพรางดึงมีดเดินป่าเล่มยามออกมาจากฝักที่เหน็บอยู่ด้านหลัง “แต่ถ้าไม่ทำ แม่มึง พี่น้องมึงก็ต้องลำบาก...อโหสิให้กูเถอะนะ”

จบคำมันก็เงื้อมีดขึ้นและฟันมาทางผมสุดแรง ผมกระโดดหลบและล้มลงนอนกับพื้น ไอ้พ่อสารเลวของผมกระโดดคร่อมและใช้มือข้างหนึ่งกดคอผมไว้ มันเงื้อมืออีกครั้ง สติผมตะโกนกึกก้องถึงอันตรายที่บ่งบอกมาทางดวงตาเบิกกว้างและฟันที่ขบกันแน่นของไอ้ชาติชั่ว สัญญาณอันตรายนั้นสั่นสะเทือนแทรกซึมไปตามกล้ามเนื้อและมือที่ควานสะเปะสะปะของผม และในวินาทีนั้นราวกับว่ามีมือของใครบางคนหยิบยื่นบางสิ่งมาใส่มือ มันรสสัมผัสที่เย็นชื้น เหนอะเหนียวแต่พอมือดี

ผมคว้ามันมาและทุบไปที่หัวของไอ้สารเลวเต็มแรง

มีเสียงร้องมาจากมัน แต่ไม่ดังนัก ก่อนที่ร่างจะอ่อนแรงจนผมดิ้นหลุด ผมคว้ามีดของมันมา มันยิ้มพรางใช้มือกุมหัวที่มีทางน้ำสีแดงทิ้งตัวลงมาเป็นทาง

“มึงจะทำอะไร” มันพูดพรางหัวเราะท่าทีของผม “มึงจะฆ่าพ่อตัวเองเหรอ...เอาสิ ทำไมไม่ทำละ”

“อย่านะ...” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปตามเสียงนั้น

แม่...แม่มาที่นี่ได้อย่างไร มันไม่ปลอดภัยไม่ใช่หรือไง...ก็แม่แทบไม่เคยเข้าป่าเลยสักครั้ง ...แม่มาทำอะไรที่นี่ แล้วในมือของแม่...แม่เอาปืนมาด้วยทำไม แม่เล็งกระบอกปืนมาทางผมและพ่อ มือทั้งสองที่กุมอยู่ที่ด้ามปืนสั่นเทา สายตามองมาทางเราทั้งสองสลับกันไปมา

“ยิงมัน” เสียไอ้เหี้ยนั้นตะโกนยิ่งทำให้มือของแม่สั่นเทากว่าเดิม ดวงตาเอ่อท้นด้วยน้ำตาฉายแววสับสน “ยิงมันสิวะ”

“กูไม่ยิงลูกหลอก...กูยิงใครไม่ได้ทั้งนั้น...กูทำไม่ได้” เธอคนนั้นตะโกนตอบก่อนจะปาปืนที่อยู่ในมือมาทางผมและพ่อสุดแรง ผมรีบกระโจนไปยังปืนนั้นเช่นเดียวกับไอ้ชาติหมา ปืนกระดอนไปไกลกว่าเก่า ไอ้พ่อเลวของผมเตะมีดหลุดจากมือของผม ก่อนที่มันจะคว้าขึ้นมากำไว้แน่น

“มึงจะฆ่ากูเหรอ” มันตะโกนพรางกระทืบผมที่ชายโครง ลำตัวและหัวเข่าหลายครั้ง หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล ส่วนตัวผมนั้นได้แต่นอนคุดคู้ด้วยความกลัวและเจ็บปวด พยายามกลิ้งตัวไปมาเพื่อหลบจากแรกกระแทบนั้น

“พอเถอะ...อย่าทำมันเลย” เสียแม่ของผมดังมา เธอคงตรงเข้ายื้อยุดอีกฝ่ายไว้ แต่คำปฏิเสธของไอ้ผู้ชายชาติหมานั้นก็คือเสียงเนื้อมือของมันประทบกันเนื้อหน้าของแม่ผม

“อย่ายุ่ง” มันตะคอก ก่อนจะหันมาทางผมที่ชันตัวลุกขึ้นนั่งและเริ่มถ่อยห่างจากมันที่ย่างกลายเข้ามา “มึงเก่งนักหรือไง...เก่งนักเหรอ” มันพูดพรางชี้สิ่งที่อยู่ในมือมาที่ผม

ผมไม่ตอบ...ไม่...อันที่จริงผมตอบ ผมตอบมันด้วยสายตาที่จ้องมองไปยังมัน จ้องมองมันอย่างโกรธแค้นที่มันทำร้ายแม่ผม มองมันด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสมเพชอันสุดประมาณ จ้องมองมันอย่างเย้ยหยันหยามเหยียด มึงมันไร้ค่า ไร้ค่า...

ผมคว้าสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นมาและชี้ไปที่มัน สายตาของมันนั้นค่อย ๆ แปลเปลี่ยนไปที่ละน้อยในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที จากผู้มีชัยมาเป็นความหวาดกลัว ก่อนจะกลายเป็นร้องขอ แต่ไม่...ผมไม่มีอะไรจะให้มันนอกจากสิ่งนี้

เสียงปืนดังกัปนาทสะท้อนก้องไปทั่วทั้งป่า เสียงกระพือปีของนกแว่วตามมา ความเงียบปรากฏขึ้นชั่วขณะรอบตัวผม ร่างนั้นก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว สายตาเบิกโพรงตะลึงงัน ปากอ้ากว้างคล้ายต้องการร้องขอ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ร่างไร้ลมหายใจของไอ้ชาติชั่วสารเลวนั่นจะล้มลมนอนกับพื้น....

โอ...มันช่าง...

เสียงกรีดร้องของแม่ผมดังขึ้นทำลายความเงียบงันนั้น เธอตรงเข้ากอดร่างไร้ลมหายใจของผู้เป็นสามีไว้แน่น...ไม่ใช่...อดีต...ต้องอดีตสามี

“มึงทำอะไร...มึงทำอะไร” เธอร้องถามผม ผมนิ่งเงียบอย่างตะลึงงัน “มึงฆ่าพ่อตัวเอง ไอ้ชาติหมา ไอ้เหี้ย” เธอร้องลั่นอย่างเสียสติก่อนจะคว้ามีดไปมือของร่างไร้ลมหายใจและเดินตรงมาทางผม

มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งตัวไม่ถูก สติที่พึ่งจะกลับมานั้นสั่งการอย่างรวดเร็ว

ผมยกปืนขึ้นและลั่นไกอีกครั้ง

ปัง...

ผมรู้สึกว่ามีเม็ดน้ำเม็ดเล็ก ๆ กระเซ็นติดอยู่บนหน้าผม ผมยกมือขึ้นเช็ด จึงรู้ว่าเป็นเม็ดเลือดของแม่

ความเงียบนั้น...กลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง

“ไม่มมมมมมมมมมมมมม” เสียงร้องของผมดังขึ้น มันไม่ถูกต้อง ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ผมควรจะได้อยู่กับแม่ผมสิ ผมควรจะได้อยู่กับแม่ของผมตราบชั่วฟ้าดินสลาย มันไม่ถูกต้อง ไม่ควร...

แต่เมื่อผมรู้สึกตัวและลืมตา ผมก็มาอยู่ภายในหลุมนั้นที่ผมขุด...มันเสร็จแล้ว สถานพักพิงสุดท้าย สถานอันอบอุ่นและคุ้นเคย ความชื้นเย็น ความทรงจำ ความรัก

ผมค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอน อบอุ่นเหลือเกิน ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว มีความสุขเหลือเกิน...

ความชื้นแฉะค่อย ๆ ลามเลียตากดวงตาทิ้งลงมาตามดั้งจมูกและใบหน้า

ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องอดทน...ไม่ต้องอีกต่อไปแล้ว

ความเย็นของโลหะจรดอยู่ที่ขมับด้านหนึ่ง มันมาอยู่ในมือของผมได้อย่าไรนะ...ใครกันเป็นผู้ยัดเยียดมันมาใส่มือผม...มือที่มองไม่เห็นนั้น...มือที่ไร้ตัวตน...ใครกัน

ผมไม่อยากรู้อะไรอีกต่อไป มันไม่มีค่าแล้ว ไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตต่อ...ผมหลับตา

และ...

ปัง

16 สิงหาคม 2552

คำแถลง

เป็นเวลานานหลายปีมาแล้วที่ผมพยายามทำความเข้าใจในความต้องการของตัวเอง
มันมีจริงหรือเปล่า...
มันควรจะมีหรือเปล่า...
ผมไม่รู้...ผมรู้เกี่ยวกับตัวเองน้อยมาและน้อยลงไปทุกที เท่าที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเองก็คือผมชอบอ่านและเขียน มันเป็นเหมือนลมหายใจ แขนขา หรืออะไรที่มากกว่านั้น นอกเหนือจากนั้น ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย

ผมคงบ้า...อาจจะใช่
เวปบล๊อกนี้ผมได้ทำขึ้นเพื่อเผยแพร่งานเขียนของผู้คนที่ผมรู้จัก...พวกเรา...คือคนบ้า...5555...คนบ้าที่ทำงานที่ตัวเองชอบและรักอย่างสุดหัวใจโดยไม่เคยคิดหวังเศษเงินของสำนักพิมพ์เป็นสิ่งตอบแทน พวกเราเกลียดข้อผูกมัดที่เรียกว่า "สัญญา" พวกเราชิงชัง "ความกระหายหิวอันชั่วช้า" เหล่านั้น พวกเราจะ "เขียนในสิ่งที่เราอยากจะเขียน" จะ "บอกเล่าในสิ่งที่พวกเราบอกเล่า" จะ "ร้องขอในสิ่งที่พวกเราขาดหาย" และจะ "ให้ในสิ่งที่เรามีอย่างไม่คิดเก็บงำ"

ผมไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนได้เข้ามาอ่านเวปบล๊อกนี้ อาจจะแค่หลักสิบหรือไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่โปรดจงรู้ไว้เถิด ทุกคำพูดที่ได้เอ่ยออกไปจากที่แห่งนี้ เป็นสิ่งอันบริสุทธิ์จากพวกเราทุกคน เป็นคำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เป็นตัวตนอันจริงแท้ของพวกเรา

ขอให้สนุกนะครับ